MThai
Video
Seeme
สมองก็ควรจะต้องมีโปรแกรมการออกกำลังกายของตัวเองเหมือนกัน ไม่ใช่มีหน้าที่แค่ใช้งานเพียงอย่างเดียว การออกกำลังกายนี้จะทำให้สมองของคุณพร้อมอยู่ตลอดเวลา ทั้งการอ่านหนังสือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และอีกมากมาย แต่หลายคนคงสงสัยว่า ออกกำลังกายอย่างไรให้สมอง เอาสมองมาวิดพื้น ยกน้ำหนัก หรือซิทอัพ เปล่าเลย! มันมีวิธีการออกกำลังกายสมองในชีวิตประจำวันที่ง่ายกว่านั้น เป็นกิจกรรมที่เราทำในทุกๆ วัน จนคุณไม่อยากเชื่อว่า มันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ มาแพลนโปรแกรมออกกำลังกายสมองกันดีกว่า
โปรแกรมที่ 1 : สมองต้องได้รับการฝึก
การทำงานในชีวิตประจำวัน คงเป็นการฝึกสมองอยู่ในตัวแล้ว แต่ที่เรากำลังจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นการท้าทายสมองในระดับที่ลึกมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่อ่านหนังสือพิมพ์หรือเล่นคอรสเวิร์ดในกระดาษ แต่มันหมายถึงการใช้เครื่องมือใหม่ที่เราอาจจะยังไม่เคยใช้มาก่อน เช่น แอพพลิเคชั่นหรือแก็ดเจ็ตใหม่ๆ หรือโปรแกรมในสำนักงานที่อาจจะไม่คุ้นมือคุณ อย่างโฟโตช้อป หรือตัดต่อวิดีโอ ซึ่งนั่นจะทำให้สมองคุณแข็งแรงและฟิตแอนด์เฟิร์มอยู่ตลอดเวลา หรือแม้กระทั่งการฝึกภาษาที่สาม อย่างคุณได้ภาษาไทยและอังกฤษ อาจจะไปฝึกภาษาฝรั่งเศส จีน เยอรมัน ญี่ปุ่น ฯลฯ เพิ่มเติม โปรแกรมแรกนี้ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ เรียนรู้ รับรองว่าดีต่อสมองคุณแน่นอน
โปรแกรมที่ 2 : สมองแกร่งด้วยการออกแรง
ออกแรงในที่นี่ ไม่ใช่การยกของหนักหรือขนสิ่งของแต่อย่างใด มันคือการออกกำลังกายอย่างเบา ตั้งแต่โยคะ การเดิน การวิ่งเหยาะๆ ไปจนถึงการเต้นแอโรบิก ที่ใช้จังหวะและการเคลื่อนไหวค่อนข้างสูง การเคลื่อนไหวเหล่านี้จะทำให้สมองคุณได้รับออกซิเจนมากขึ้น สมองจะมีความเฟรชและไบร์ทในการอ่านหนังสือและคิดงานอื่นๆ ต่อไป ลองสังเกตดีๆ สาวออฟฟิศหลายๆ คนชอบไปออกกำลังกายก็ด้วยเหตุนี้ ที่จะเป็นการรีเฟรชสมองและความสดชื่นของตัวเองให้คืนกลับมา หลายคนที่จะทดลองโปรแกรมนี้ ถามมาว่า ต้องออกมากออกน้อยแค่ไหน แค่ 15-20 นาที ก็เพียงพอต่อความต้องการของสมองแล้ว
โปรแกรมที่ 3 : สมองต้องได้รับสารอาหารที่ดี
การวิจัยหลายๆ ชิ้นบอกตรงกันว่า การกินอาหารให้สมดุล คือขุมพลังของสมองโดยแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้ น้ำมันมะกอก 3 อย่างนี้จะช่วยคืนพลังให้กับสมองได้อย่างเต็มที่ เพราะสารอาหารที่มีประโยชน์อยู่ด้านจะเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาทให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น นอกจาก 3 อย่างนี้แล้ว อาหารที่ผ่านกระบวนการทำหรือปรุงพอประมาณ ก็เป็นการเซฟสมองอีกทางหนึ่ง เรียกได้ว่า ใครถนัดวิธีไหน ก็สามารถออกแบบโปรแกรมนี้ได้ตามใจชอบ หรือถ้าจะให้แนะนำลองหาผลไม้สด มารับประทานขณะอ่านหนังสือไปด้วยก็น่าจะดีไม่น้อยเลยล่ะ
โปรแกรมที่ 4 : สมองต้องได้รับการพักผ่อน
บอกไว้ก่อนเลยว่า สมองไม่ชอบการอดนอน ก่อนนอนควรละวางปัญหาเหล่านั้นไว้ แล้วนอนหลับให้สนิท เพราะสมองจะได้รับการรีชาร์จตัวเองอีกครั้งก็จากการพักผ่อนนี่แหละ แล้วการพักผ่อนไหนที่จะดีที่สุด ถ้าไม่ใช่การนอนหลับ ซึ่งผลวิจัยหลายตัวบอกออกมาแล้วว่า การขาดการนอนหลับ เป็นการทำลายและทำร้ายสมองให้ทุกข์ทรมานมากกว่าปกติ ดังนั้น เมื่อได้อ่านแบบนี้แล้ว ควรนอนให้เพียงพอ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วผู้ใหญ่ควรนอน 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ถือเป็นช่วงเวลาที่พอเหมาะ หากมากกว่านั้น อาจจะทำให้คุณเพลียหรือเมื่อยล้ามากกว่าเดิม
โปรแกรมที่ 5 : สมองต้องได้รับการปฏิสัมพันธ์
ไม่ใช่ให้สมองไปเจ๊าะแจ๊ะกับอวัยวะอื่น พอได้อ่านหัวข้อนี้ มันคือการให้คุณไปสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับคนอื่นๆ ซึ่งนี่คือหัวใจสำคัญในการทำให้สมองแข็งแรงอยู่ตลอดเวลา เพราะการได้เข้าสังคม พบปะพูดคุย ทั้งหัวหน้างาน ครอบครัว หรือเพื่อนฝูงต่างๆ แบบเห็นหน้ากัน จะช่วยให้สมองผ่อนคลายมากขึ้น มีผลต่ออารมณ์และความจำในระยะยาวมากขึ้น ถึงแม้ว่าบางผลการวิจัยอาจจะยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่การทำแบบนี้มันถูกพิสูจน์ว่า ได้ผลกับคนมานักต่อนักแล้ว
โปรแกรมที่ 6 : สมองอาจจะต้องการความเครียดบ้าง
ย้ำว่าอาจจะเท่านั้น เพราะความเครียดในบางครั้งคือความท้าทายของสมองคุณให้สตรองมากขึ้น แต่ความเครียดที่มากเกินไป อาจทำให้เสียสมาธิ ความจำบางส่วนหายไป และทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบ ขอให้ควบคุมความเครียดในระดับที่พอดีกับตัวคุณ หากรู้ตัวว่าเครียดเกินไปแล้ว ลองหายใจลึกๆ เรียกสติให้กลับคืนมา ความเครียดเหล่านั้นอาจทุเลาลง หรือถ้าหายใจลึกๆ แล้วไม่ได้ผล แนะนำให้ออกกำลังกายตามโปรแกรมที่ 2 ดู เชื่อได้เลยว่า เมื่อออกแรง อะไรๆ ก็จะสบายขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ
ลองวางแผนออกกำลังกายสมอง ตามความความชอบของคุณดู จะเริ่มต้นจากโปรแกรมใดก็ได้ เพราะทุกโปรแกรมล้วนส่งผลดีต่อสมองคุณอย่างคาดไม่ถึง เพียงแค่คิดที่จะเริ่ม…เราว่าก็ชนะแล้ว
ที่มา : bostonglobe
