กาหลมหรทึก นักเขียน นิยายสืบสวนสอบสวน ปราปต์ วรรณกรรมไทย

‘ปราปต์’ กับงานเขียนสะท้อนตัวตน บทพิสูจน์ความสำเร็จของวงการวรรณกรรมไทย

Home / Editor Talk / ‘ปราปต์’ กับงานเขียนสะท้อนตัวตน บทพิสูจน์ความสำเร็จของวงการวรรณกรรมไทย

          ภาพความสำเร็จในวงการวรรณกรรมไทย โดยเฉพาะนวนิยายสืบสวนสอบสวนคงเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ งานเขียนน้อยชิ้นที่จะได้รับความนิยม เพราะนอกจากแนวโน้มการอ่านหนังสือของคนไทยจะลดน้อยลงแล้ว งานเขียนประเภทนี้อาจเข้าถึงได้แค่คนบางกลุ่มเท่านั้น หากใครมีความคิดเช่นนั้น ขอให้ลองคิดทบทวนเสียใหม่ “กาหลมหรทึก นวนิยายสืบสวนสอบสวนสัญชาติไทย ฝีมือการถ่ายทอดของนักเขียนหนุ่มไฟแรง “ปราปต์” หนึ่งในผลงานทรงคุณค่าที่หลอมรวมประวัติศาสตร์และวรรณศิลป์ได้อย่างลงตัว ที่นักอ่านต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า สนุกจนวางไม่ลง! นอกจากนี้ยังการันตีด้วยรางวัลอีกมากมายจนถูกนำไปสร้างเป็นละครในที่สุด

          ด้วยความสำเร็จนี้ ย่อมทำให้ใครหลายคนอยากทำความรู้จักกับนักเขียนหนุ่มไฟแรงคนนี้ มาทำความรู้จักตัวตนของ ปราปต์ หรือ “เต็ก-ชัยรัตน์ พิพิธพัฒนาปราปต์ ผ่านมุมมองและประสบการณ์ตลอดระยะเวลาบนเส้นทางสายน้ำหมึก

รู้ตัวว่าหลงรักการเขียนตั้งแต่เมื่อไร

          ตั้งแต่เด็กเลย มันเริ่มมาจากที่แม่ชอบให้อ่านนิทาน สมัยก่อนชอบวาดรูประบายสี แม่ก็จะซื้อนิทานที่ระบายสีได้ ซึ่งมันจะมีคำน้อยก็เลยเอามาเขียนเรื่องต่อเอาเอง พอโตมาก็เขียนนิทานเต็มเรื่อง ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่ามันคือการเขียนนิยาย จริงๆ ตอนเด็กอยากวาดรูปแล้วเราก็ชอบเล่าเรื่องด้วย แต่พอถึงช่วงมัธยมเราหันไปสนใจการเขียนนิยายมากกว่า มันเป็นการเปิดโลกให้เราได้เห็นว่ายังมีการเขียนอีกหลายรูปแบบ ในขณะเดียวกันก็คิดว่าถ้าเลือกวาดรูปเราอาจจะเล่าเรื่องออกมาได้ไม่หมด

จุดที่ทำให้ก้าวเข้าสู่การเป็นนักเขียนอย่างเต็มตัว

          เป็นช่วงมัธยมปลาย ผมเขียนแล้วนำไปลงในเว็บไซต์แห่งหนึ่ง ตอนนั้นรู้สึกว่าอยากมีหนังสือเป็นของตัวเอง จากนั้นก็เขียนลงเรื่อยๆ ช่วงแรกจะเขียนแนวตลกวัยรุ่นก็มีได้ตีพิมพ์บ้าง พอเรียนจบมหาวิทยาลัย ตลาดพวกนี้ก็จะดร็อปลง กลับกลายเป็นนิยายแนว 18+ ที่บูมขึ้นมา ซึ่งให้เขียนแบบนั้นผมก็เขียนไม่ได้ ด้วยความที่เราโตขึ้นเราก็อยากเขียนอะไรที่มันโตขึ้น เคยลองเขียนดูแล้วก็ไม่ได้ตีพิมพ์อีกเลย (หัวเราะ) จนกลับมาคิดดูว่าเราถนัดการเขียนแนวนี้จริงหรอ พอดีมีการประกวดรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดก็เลยลองพิสูจน์ตัวเองดู ถ้าเกิดว่าไม่ได้ก็คงจะไม่ทำอีกแล้วแต่สุดท้ายก็ได้

เป็นนักเขียนนิยายสืบสวนสอบสวน จริงๆ แล้วชอบอ่านหนังสือแนวไหน

          ตอนเด็กๆ อ่านทุกแนวเลย อาจจะอ่านแนวรักมากหน่อย มีความแฟนตาซีนิดๆ พอโตขึ้นผมก็จะอ่านเรื่องที่มันจริงมากขึ้น หนักมากขึ้น หรือวรรณกรรมแนวปรัชญาที่ต้องตีความ แต่ถ้าถามว่าชอบแนวไหน ผมก็ชอบอ่านนิยายแนวสืบสวนสอบสวน หรือไม่ก็จะอ่านเรื่องที่มันตลกไปเลย จริงๆ หนังสือ 2 ประเภทนี้มันเป็นความรู้สึกเดียวกันนะในความรู้สึกของผม สังเกตดูว่าคนที่เขียนเรื่องสยองได้ดีเขาจะมีมุมขำขัน แต่ด้วยความที่เราเขียนหนังสือก็เหมือนเราศึกษาไปด้วย

เมื่อมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะผลงานที่การันตีด้วยรางวัลมากมายอย่าง กาหลมหรทึกรู้สึกอย่างไรบ้าง

          เหนือความคาดหมายมากครับ ตอนแรกผมมีความฝันว่าถ้ามันได้รางวัลก็จะมีคนรู้จักเรามากขึ้น เราสามารถนำไปต่อยอดอะไรก็ได้ มันไปไกลกว่าที่เราคิดไว้ มันไปถึงรอบซีไรต์ มีคนตามอ่านผลงาน และกำลังจะฉายเป็นละคร รู้สึกดีใจมากๆ เลยครับ (ยิ้ม)

เมื่อผลงานเขียนถูกนำไปสร้างเป็นละคร ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งไหม

          ดีใจมากและงงมากครับ คือมันไม่ใช่แนวที่คนไทยชอบ คนไทยจะชอบเรื่องความรัก ส่วนของเราทำก็ยาก ดูก็ยาก เพราะคนไทยชอบอะไรที่มันง่าย ผมก็นึกอยู่เหมือนกันว่าเขาจะเอาไปทำแบบไหนให้ดูง่ายที่สุด แต่พอรู้ว่าคนเขียนบทละครคือคุณ ‘ศิริลักษณ์ ศรีสุคนธ์’ ผมก็เชื่อใจเพราะติดตามผลงานของเขาอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าถ้าเราทำงานบนพื้นฐานของความชอบมันจะไปได้ดี และทุกคนก็อยากทำออกมาให้ดีที่สุด

ในฐานะที่เป็นนักเขียนนิยายสืบสวนสอบสวน เสน่ห์ของนิยายประเภทนี้คืออะไร

          นิยายสืบสวนสอบสวนเสน่ห์ของมันคือการที่ทำให้เราอยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา มันทำให้เราไม่เบื่อ เพราะว่าตัวผมเองเป็นคนสมาธิสั้น ถ้าให้อ่านแนวอื่นก็คงวาง แต่นิยายสืบสวนสอบสวนจะทำให้เราไหลไปได้เรื่อยๆ ส่วนเวลาเขียนมันก็จะได้ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เราจะดึงคนอ่านแบบไหนดี หลอกคนอ่านอย่างไรดี มันจะจินตนาการไปอีกชั้นหนึ่ง เป็นความรู้สึกที่สนุกไปอีกแบบหนึ่งดีครับ

“กาหลมหรทึก” ในวันนี้แตกต่างจาก “กาหลมหรทึก” ในวันที่ยังเป็นเพียงต้นฉบับแค่ไหน

          ถ้าความรู้สึกของผมเอง ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้แตกต่างกัน คือกาหลมหรทึกของผมก็ยังเป็นกาหลมหรทึกของผมอยู่ แต่ว่าอาจจะไม่เหมือนของคนอื่นเท่านั้นเอง ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าของคนอื่นจะต้องมาเหมือนของผมนะ หรือแม้กระทั่งในรูปแบบของละคร ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องมาเหมือนของผม เพราะตอนนี้กาหลมหรทึกมันเป็นของทุกคนแล้ว ทุกคนล้วนมีความรู้สึกอยู่ในใจ

มองภาพอนาคตไว้อย่างไรบ้าง ทั้งการทำงานประจำ และการเป็นนักเขียน

          สิ่งที่ฝันไว้เลยคือการเป็นนักเขียนอาชีพ แบบเต็มเวลาด้วย แต่ด้วยตลาดของเมืองไทยมันยากมากที่จะทำได้ ผมรู้สึกว่าเราเดินมาถึงจุดนี้แล้ว เราก็สู้มาในระดับหนึ่ง ก็ไม่หลอกตัวเองด้วยว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งด้วย และก็มีจุดที่ยังไม่ประสบความสำเร็จด้วย เราก็แค่เดินต่อ

แบ่งเวลาหรือจัดระบบชีวิตตัวเองอย่างไร

          ผมเป็นคนที่ใช้ชีวิตแย่มาก (หัวเราะ) คือตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็แทบจะไม่มีเวลาว่างให้ตัวเองเลย ผมเขียนหนังสือตลอดเวลา ตั้งแต่สมัยเรียนเลยนะ ตอนนั้นผมเรียนที่ธรรมศาสตร์ก็จะอยู่หอพัก ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายผมเป็นคนที่เรียนดีนะ เลยไม่ต้องอ่านหนังสือเยอะ เราก็จะมุ่งแต่การเขียนหนังสืออย่างเดียวเลย ไปเข้าหอสมุดเพื่อเขียนหนังสือจนถึง 4 ทุ่ม แล้วก็กลับหอนอน พรุ่งนี้ไปเรียนพอเลิกเรียนแล้วก็กลับมาเขียนหนังสือใหม่ ชีวิตก็เลยวนๆ อยู่แบบนี้ จริงๆ มันไม่ดีนะ เพราะถ้ามาถึงจุดหนึ่งเหมือนผมในตอนนี้ เวลาไปอ่านผลงานของคนอื่นที่มันเป็นชีวิตจริงมากๆ จะเห็นเลยว่าคนที่ใช้ชีวิตมาเยอะ เขาจะมีมุมมองกว้างกว่าและมีวัตถุดิบที่สามารถสะท้อนคนอ่านได้ ทำให้บางทีรู้สึกว่าเราไม่ค่อยมีความทรงจำอะไรเลย ผมเลยตั้งใจจะใช้ชีวิตให้มากขึ้น และมันก็มีเรื่องที่พิเศษอีกอย่างคือ ตั้งแต่ที่ผมเขียนเรื่องกาหลมหรทึกผมไม่เคยนั่งติดโต๊ะ มันพาผมออกไปดูสถานที่ต่างๆ จนไปทั่วประเทศ

สำหรับคนที่อยากเป็นนักเขียน มีเทคนิคแนะนำคนเหล่านั้นอย่างไรบ้าง

          สำหรับผมขอแค่อ่านหนังสือเยอะๆ แล้วก็ลองเขียนดู อาจจะอ่านพวกเทคนิคบ้าง สุดท้ายแล้วผมว่าสิ่งที่ได้ผลมากที่สุดคือการจดจำจากการอ่านหนังสือ เพราะยิ่งเราอ่านเยอะก็ยิ่งมีคลังคำ รู้ว่าควรใช้เทคนิคการนำเสนออย่างไร หรืออาจจะดูหนังก็ได้ เปิดโลกของตัวเองให้กว้างๆ เราก็จะสามารถนำทุกอย่างมาผลิตเป็นผลงานได้

อยากบอกอะไรถึงคนที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียน หรือมองเราเป็นแบบอย่าง

          อย่ามองผมเป็นแบบอย่างเลย (หัวเราะ) ผมก็ภูมิใจในระดับหนึ่งนะที่มีคนมองผมเป็นแบบอย่าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กมากกว่า ถึงตอนนี้ผมก็ยังมองว่าตัวเองเกิดมาจากที่ไหน ไม่ได้เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงใหญ่โตอะไร ผมรู้สึกดีมากกว่าที่เป็นแรงบันดาลใจให้เด็กๆ ได้ ผมเคยอยู่ในจุดนั้นมาก่อนมั้งครับ ที่เคยมองว่าพระจันทร์ดวงนั้นสวย อยากเป็นแบบนั้นบ้าง ผมเข้าใจดีว่าความรู้สึกแบบนั้นมันเป็นอย่างไร ซึ่งถ้าเทียบตอนนั้นกับตอนนี้ บางทีตอนนั้นก็ยังมีความสุขกว่าด้วยซ้ำเพราะว่ามันไม่มีแรงกดดัน ไม่มีอะไรเลย ผมอยากให้คนที่อยากเป็นอย่างผมหรือใครก็ตาม

ปัจจุบันนี้คนอ่านหนังสือกันน้อย มีวิธีไหนบ้างให้พวกเขากลับมาอ่านหนังสือ

          ทุกวันนี้สังคมของเรามันเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว ทุกคนหันไปให้ความสนใจสื่อโซเชียลมีเดียทางหน้าจอกันมากขึ้น ไม่ใช่มันไม่ดีนะ เพราะถ้าเทียบจากตอนผมเป็นเด็ก ผมรู้สึกเหมือนอยู่ในกะลา เหมือนได้แค่อ่านในสิ่งที่บรรณารักษ์ห้องสมุดเลือกให้ซึ่งมันเป็นเพียงรสนิยมของเขา ส่วนในโลกโซเชียลมันเปิดกว้างให้เราอ่านข่าวสาร แต่ผมก็ไม่อยากให้ทุกคนทิ้งหนังสือนะ

          ไม่ใครเริ่มต้นมาจากความสำเร็จ แม้หนุ่มปราปต์จะเคยท้อจนอยากเลิกเป็นนักเขียน สุดท้ายความพยายามก็เป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นดีที่ทำให้เขามีกำลังใจต่อไป เชื่อว่ามุมมองดีๆ ของหนุ่มปราปต์จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนที่เป็นทั้งนักอ่านและนักเขียนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

          แน่นอนว่าเมื่อนิยายถูกนำไปสร้างเป็นละคร คำถามที่ตามมาคือ เนื้อหาจะเหมือนในหนังสือหรือไม่ หนุ่มปราปต์ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า กาหลมหรทึกในรูปแบบของละครนั้นไม่เหมือนในหนังสืออย่างแน่นอน และอยากให้ทุกคนติดตามว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจะกาหลมหรทึกสมชื่อหรือไม่ เนื้อหาจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนต้องพิสูจน์ไปพร้อมกัน แต่ถ้าใครอยากพิสูจน์ฝีมือการเขียนของนักเขียนหนุ่มคนนี้ หรืออยากร่วมไขคดีปริศนาแห่งประวัติศาสตร์และทรงคุณค่าทางวรรณศิลป์ ก็สามารถสั่งซื้อหนังสือ “กาหลมหรทึก” กันได้ที่ store.mbookstore