ไฟต์คลับ – Chuck Palahniuk ผู้สร้าง ไฟต์คลับ แหล่งรวมพลคนโกรธโลก
เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วตั้งแต่ Chuck Palahniuk ได้เปิดตัว Fight Club (ไฟต์คลับ) แหล่งรวมพลคนโกรธโลกขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก พร้อมกับสร้างแรงบันดาลใจให้หนุ่มเลือดร้อนให้ฮึกเหิม แต่ทว่าจริง ๆ แล้ว Palahniuk ได้วางธีมของหนังสือเล่มนี้เอาไว้เช่นไร?
.
.
ในยุคปัจจุบันที่คนสมัยใหม่พบว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มั่นคง เมื่อการเป็นตัวเองมากไปมักถูกประเมินด้วยสายตาเย้ยหยันของคนหมู่มาก มันเลยบ่งชี้ให้เห็นถึงความป่วยของสังคมอย่างเสียไม่ได้ หลายคนตระหนักดีว่ากำลังเผชิญหน้ากับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อต้องยอมรับให้ได้ว่าคงไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เท่าพ่อแม่
.
.
ความจริงที่น่าเศร้าดังกล่าวได้สร้างตัวละครอย่าง “Tyler Durden” ในเรื่อง Fight Club ขึ้นมา ตัวละครลึกลับไร้ที่มาที่ไปแต่พลุกพล่านไปด้วยเลือดบ้า อุดมการณ์และจิตวิญญาณอันแรงกล้า หล่อ เท่ เต็มไปด้วยเสน่ห์ เราทุกคนมีความ “Tyler Durden” อยู่ในตัวเองกันทั้งนั้น ความดิบเถื่อนในใจและค่านิยมที่เรามองสังคมด้วยความจริง แต่กลับกลบเงียบไม่พูดออกมา
.
ข้อมูลเพิ่มเติม – Tyler Durden (ไทเลอร์ เดอร์เดน) ตัวละครเอกในเรื่อง Fight Club (ไฟต์คลับ) (1996) เป็นตัวละครลึกลับที่ถูกสร้างมาเพื่อแทนความดิบเถื่อนในใจของตัวเอกอย่าง Edward จากอาการนอนไม่หลับที่ปลุกตัวตนของ Tyler Durden ให้ตื่นขึ้นจากจิตใต้สำนึก
.
Fight Club คือการระบายความโกรธเกรี้ยวพร้อมกับเสียดสีสังคมทุนนิยมอย่างสะใจและเจ็บแสบ ในทุกแง่มุมชีวิตและจิตสำนึกหลบซ่อนของมนุษย์ได้อย่างจัดจ้าน กรอบเกณฑ์สังคมที่ทำตามกันมา ช่างงี่เง่าสิ้นดี การแหกคอกทุกกฎในชีวิตต่างหากคือชีวิตที่แท้จริง
.
.
แล้วอะไรกันที่เป็นอิทธิพลและเจตนารมณ์ที่ส่งผลให้ Palahniuk สร้างแนวคิดที่เป็นพิษนี้ขึ้นมาได้อย่างแยบยล ทั้งอุดมการณ์เป็นพิษ – ความเป็นมนุษย์ที่เป็นพิษ – สิ่งที่ดูเหมือนว่าสำคัญแต่กลับไร้ตัวตน ทุกอย่างที่ดูเหมือน “เกล็ดหิมะ” มีค่าเพียงชั่วขณะ เพียงสักพักก็ละลายหายไป
.
.
Chuck Palahniuk :
มีความเห็นของคนอ่านหลั่งไหลเข้ามาทุกวัน บางคนพูดว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นมาจากศักดิ์ศรีและอยากให้สังคมยอมรับ นี่คือความคิดที่น่ากลัวของหนุ่มยุคนี้ เรื่องของสถานะและการถูกยอมรับช่างดูห่างไกลจากที่คนรุ่นนั้นควรจะเป็น เพราะรุ่นที่โตกว่าอาจยอมรับได้แล้วว่า การคาดหวังอะไรไว้ก็ตามอาจไม่ได้ดั่งใจ หรือไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขายังยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อเป็นหนึ่งในจุดเล็ก ๆ ของโลกใบนี้อย่างเสียไม่ได้
.
กระแสต่อต้าน Fight Club (ไฟต์คลับ) และการออกมาโจมตีเรื่องสิทธิมนุษยชน ของ Reddit
Chuck Palahniuk :
ผมเบื่อนิดหน่อยที่วัฒนธรรมของผมไม่ได้มอบทางเลือกอะไรให้พวกเขามากมายเท่าไหร่ ทั้งที่จริง ๆ แล้วทั้ง The Matrix และ Fight Club มันก็คือเหรียญด้านเดียวกัน
.
.
Tyler Durden = แบบฉบับของอุดมคติที่ไม่นำไปสู่การปฏิบัติจริง (คิดแต่ไม่ทำ)
Chuck Palahniuk :
ทุกเรื่องที่ผมนำมาเขียนสะท้อนมาจากความจริง ผมตั้งคำถามเกี่ยวกับความจริงน้อยมาก เพื่อให้ทุกคนก้าวออกไปข้างนอกและหาคำตอบด้วยตัวเอง ซึ่งตอนนี้มีแค่ 2 เรื่องที่ทำแบบนี้คือ The Matrix และ Fight Club สุดท้ายผมก็รู้สึกแย่ที่บางคนเลือกอ่านหรือดูมันอย่างผิวเผิน
ผมเห็นใจคนรุ่นใหม่ เพราะมองหนุ่มรุ่นนี้แล้วเห็นตัวเอง กังวลทุกอย่างในชีวิต กลัวว่าจะสร้างบ้านหรืออาชีพให้ตัวเองไม่ได้ ทั้งหมดที่ผมจะสื่อคือความตื่นตระหนกที่คนวัยหนุ่มสาวกำลังเผชิญทั้งนั้น
.
แนวคิดเกี่ยวกับการเมือง
Chuck Palahniuk :
การเมืองสำหรับผมคือการเพิ่มขีดความสามารถของแต่ละบุคคล มันช่วยให้เขาทำสิ่งที่คิดว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด นั่นคือแนวคิดทั้งหมดที่มีใน Fight Club
.
.
ถ้ามีคนพูดว่า Fight Club (ไฟต์คลับ) ทำให้ตระหนักถึงศักยภาพของตัวเองได้ ?
Chuck Palahniuk :
ในบรรดาทางเลือกหลายทาง ผู้คนไม่น้อยตัดสินใจแหกคอกสิ่งที่ปลูกฝังให้เชื่อมาตลอดชีวิต ทั้ง ศาสนา ศีลธรรม หรือไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม เพื่อให้สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าและทำในสิ่งที่ฝันไว้ได้ มีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจวิธีการเลี้ยงดูที่เขาได้รับในวัยเด็ก จนพลิกตัวเองมาสู่เส้นทางนี้
.
ผู้คนจำนวนมากคิดว่าคุณเป็น “สูญนิยม” (Nihilism)
Chuck Palahniuk :
ใช่ ผมเป็นหนึ่งในพวกสูญนิยม แต่ก็ไม่ได้ทุกข์ทรมานอะไรกับเรื่องนี้มาก ผมเป็นสูญนิยมชนิดที่เชื่อว่า ไม่มีสิ่งไหนมีความหมายจริง ๆ เพราะเราเลือกทำในสิ่งที่เราฝัน ก็เท่านั้น
.
ข้อมูลเพิ่มเติม – Nihilism (ปรัชญาไนไฮลิม) (สูญนิยม) > Nothingness > ว่างเปล่า – คือสภาวะของผู้คนที่สูญสิ้นความเชื่อ ความหวัง และหลักการใด ๆ ที่จะยึดเหนี่ยวชีวิตของตน แนวคิดที่ไม่ยึดอะไรในโลกว่าเป็นจริง มองทุกอย่างเป็นมายาที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง
.
ก่อนหน้านี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงมาก เมื่อหลายคนสาปแช่งว่าคุณเป็นนักเขียนที่น่ากลัวและควรตายในกองไฟ คุณคิดเห็นอย่างไร?
Chuck Palahniuk :
ผมว่าเราต้องเพิกเฉยให้เป็น เพราะการเพิกเฉยการสาปส่งพวกนั้นจะทำให้คุณแข็งแกร่งและอยู่สูงขึ้น คำวิจารณ์เหล่านั้นทำให้หดหู่และไม่มีประโยชน์ ดังนั้นผมเลยเพิกเฉยเท่าที่ผมจะทำได้ และเมื่อมีคนนำเรื่องราวพวกนี้มาบอกให้รู้ แน่นอนว่าคนพวกนั้นไม่ใช่เพื่อนของผม เหมือนกับที่นักเขียนคนโปรดของผม Nora Ephron ได้กล่าวเอาไว้ว่า : มันมีคนอยู่ 2 ประเภทเท่านั้นที่ทำร้ายคุณ ประเภทแรกคือคนที่พูดหรือตั้งใจทำร้ายด้วยใจจริง ส่วนคนประเภทที่สองคือคนที่เหมือนเป็นห่วง และบอกคุณว่าเรื่องนี้ต่อต้านและทำร้ายคุณนะ
.
Fight Club (ไฟต์คลับ) ในเวอร์ชั่นหนังสือและภาพยนตร์แตกต่างกันไหม?
Chuck Palahniuk :
ไม่ คุณรู้ว่ามันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ในรูปแบบหนังสือมันก็จะยังคงอยู่ของมันแบบนั้นเสมอ ส่วนในรูปแบบของภาพยนตร์มันก็เป็นเรื่องราวในแบบฉบับของมันเอง ด้วยสื่อที่แตกต่างกัน มันจึงแสดงแง่มุมออกมาได้แตกต่าง ดังนั้นคุณไม่ควรคาดหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นหนังสือได้อย่างสมบูรณ์
.
.
ก่อนหน้านี้คุณกลัวว่าตัวเองจะไม่ประสบความสำเร็จ ตอนนี้คุณมายืนในจุดที่ประสบความสำเร็จแล้ว หรืออาจจะเกินความฝันคุณไปแล้ว คุณยังรู้สึกแบบเดิมหรือไม่? ยังกลัวอยู่หรือเปล่า?
Chuck Palahniuk :
ผมทำได้ดีมาก เพราะได้ทำงานกับคนที่มีพรสวรรค์และเก่งกาจ เป็นเรื่องดีที่ได้อยู่ในบริษัทที่อยากอยู่ ไปพร้อม ๆ กับทำงานที่รัก ไม่มีชีวิตที่ดีไปกว่านี้แล้ว ในทางกลับกัน ผมเริ่มที่จะสอนคนอื่นให้เรียนรู้ในสิ่งที่ผมชำนาญ เหมือนคนที่เขียนอะไรดี ๆ ออกมาไม่ได้เลย ฝึกฝนจนเป็นคนที่เขียนอะไรก็ยอดเยี่ยมไปหมด
.
จากตัวตนของ Tyler Durden ที่ผลุดขึ้นมาเฉย ๆ แรงกระตุ้นอะไรที่ทำลายความเป็นตัวเอง? แล้วมีวิธีใดที่จะรักษาทั้ง 2 ตัวตนให้สมดุลได้ (ทั้งตัวตนที่สังคมยอมรับได้ และตัวตนในอุดมคติ)
.
Chuck Palahniuk :
คุณสามารถสร้างบ้านใหม่โดยที่ไม่รื้อถอนบ้านเดิมที่มีอยู่ได้ไหม? ผมคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่จะเรียกมันว่าการทำลายตัวเอง ในทางกลับกัน มันคือทางเลือกอีกทางที่ช่วยพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นในรูปแบบที่ต่างออกไปด้วยความสร้างสรรค์ เพราะบางครั้งการรื้อถอนอาจสร้างสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่เคยมีอยู่ก็ได้
.
Fight Club (ไฟต์คลับ) คือการได้ปลดปล่อยอารมณ์โกรธของคุณที่มีต่อสังคมในขณะที่เป็นชายหนุ่ม?
Chuck Palahniuk :
ผมเป็นคนทะเยอทะยานมาก เป็นนักเรียนที่ดี ประวัติขาวสะอาด ผมทำตามกฎเกณฑ์ในสังคม ทุกอย่างที่สังคมวาดหวัง ทั้ง จบปริญญา, จ่ายเงินที่กู้มาเพื่อศึกษา, และทำงานหนัก จนในที่สุดไอ้สิ่งพวกนี้ก็ทำให้ผมบรรลุ และได้บางสิ่งที่ผมพอใจ
แต่ไม่ใช่กับการทำงานนะ เพราะราว ๆ 30 ปีที่แล้ว การเป็นเด็กดีของผมเริ่มกระจุยกระจาย คุณต้องเลือกระหว่างเดินไปตามทางที่สังคมคาดหวัง กับหันเหไปหาทางที่คิดว่าช่วยทำให้คุณประสบความสำเร็จ นั่นเป็นสิ่งที่ใบปริญญาไม่ได้สอน แต่มันคือทางที่ผมเลือก ผมท้อแท้มากตอนที่ได้รับไกด์ชีวิตเหมือนกับคนอื่น เพราะมันคือไกด์ชีวิตอันเดียวกันกับที่ทุกคนลงความเห็นกันว่าไม่มีประสิทธิภาพ
.
ใครคือต้นแบบลูกผู้ชายในสังคมยุคปัจจุบัน? ใครเป็นคนที่เหมาะสมและควรจะมองเป็นเยี่ยงอย่าง
Chuck Palahniuk :
Joseph Campbell เคยกล่าวว่า นอกเหนือจากพ่อผู้ให้กำเนิด คนส่วนใหญ่ต้องการพ่อคนที่สอง – ตัวอย่างที่ทำให้เราอยากเอาเยี่ยงอย่าง โดยปกติแล้วเรามักคิดว่าเป็นครูบาอาจารย์, โค้ช, นายกรัฐมนตรี หรือแม้กระทั่งนักบวช แต่เอาเข้าจริงไม่ว่าใครก็สามารถเป็นพ่อคนที่สองได้ทั้งนั้นหากเขามีความเก๋าเกม เป็นลูกผู้ชายพอ ด้วยเหตุผลนี้เองหนุ่ม ๆ ในปัจจุบันจึงไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดี เพราะหาพ่อคนที่สองให้ตัวเองไม่ได้ ไอ้เรื่องพ่อคนที่สองมันจึงไม่เกิดขึ้น เหลือทิ้งไว้เพียงคำถามว่า โตไปจะเป็นยังไง? ชีวิตจะเดินไปทางไหนดี?
ข้อมูลเพิ่มเติม
-
โจเซฟ แคมป์เบล (Joseph Campbell) – นักวิชาการด้านเทพปกรณัม หรือนิทานปรัมปรา ชาวอเมริกันที่มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 20 ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูคุณค่าของเทพปกรณัมกลับมาสู่กระแสสังคมโลก
-
นิทานปรัมปรา หรือ นิทานทรงเครื่อง (Fairy tale) – นิทานพื้นบ้านที่เนื้อเรื่องค่อนข้างยาว ประกอบด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ซึ่งพ้นวิสัยมนุษย์ โดยตัวเอกจะมีพลังพิเศษที่ทำให้ศัตรูพ่ายแพ้ในที่สุด ในประเทศไทย เช่น ปลาบู่ทอง, สังข์ทอง เป็นต้น
คุณกังวลก็คือผู้ชายในยุคปัจจุบันไม่เป็นผู้ชายเต็มตัว?
Chuck Palahniuk :
ผมไม่กลัวว่ามันจะไม่เกิดขึ้นเพราะมันเกิดขึ้นตลอดเวลา Campbell ยังกล่าวเกี่ยวกับ ”แก๊ง” เอาไว้ด้วย ว่ามันคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ไม่มีใครเจ๋งพอจะเป็นพ่อคนที่สองให้ได้ การรวมตัวก๊วนแก๊งจึงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เหมือนอะไรสักอย่างที่จะพาหนุ่ม ๆ พวกนี้ทำในสิ่งที่เขาแทบไม่มีวันทำตัวคนเดียวได้ ถูกยกย่อง ได้รางวัล พร้อมกับสอนให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เป็นผู้ใหญ่เลวก็เท่านั้น เมื่อความเชื่อเรื่องพ่อคนที่สองจางไป ไม่ว่าใครก็คล้ายกันหมด
.
คุณเคยมีประสบการณ์เฉียดตายมามากมายในชีวิต รวมถึงการเป็นจิตอาสาในบ้านพักคนป่วยระยะสุดท้าย ทำไมคุณถึงจูงตัวเองให้ไปอยู่ใกล้อะไรแบบนี้ตลอดเลย?
Chuck Palahniuk :
ครั้งแรกที่ผมรู้สึกได้ถึงความตายได้ มันค่อนข้างจะทำให้ผมตื่นตระหนก ว่าบางครั้งผมเองก็ร้องขอความตาย ผมไม่รู้เลยว่าความตายคืออะไร จนได้มาทำงานอาสาที่นั่น มันทำให้ผมเห็นกระบวนการนี้ใกล้ขึ้น บางคนตายจากไปอย่างสวยงาม ในขณะที่บางคนตายจากไปอย่างโหดร้าย แต่มันทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากขึ้นที่ไม่ว่าใครก็เลี่ยงความตายไม่พ้น
.
พ่อของคุณถูกฆาตกรรมโดยอดีตสามีของแฟนใหม่ มันดูเป็นเรื่องที่น่ากลัวและไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น คุณจัดการความรู้สึกนั้นได้อย่างไร?
Chuck Palahniuk :
ใช้วิชาชีพด้านสื่อสารมวลชนของผมนี่แหละจัดการกับมัน ด้วยการทดลองและพูดคุยถึงรายละเอียดทั้งหมด ด้วยการทำความเข้าใจช่วงเวลานั้นจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น และด้วยการสร้างความรู้สึกที่ไร้การควบคุม แต่สามารถเข้าใจและนำไปสู่สิ่งนั้นได้สมบูรณ์
ก่อนอื่นเลยมันค่อนข้างแปลกที่พ่อผมเคยเกือบถูกพ่อของตัวเองฆ่ามาแล้วในตอนที่ยังเด็ก พ่อของเขาคุ้มคลั่ง เสียใจหนัก จนฆ่าเมีย (แม่ของพ่อ) และฆ่าตัวตายตาม เขายังพยายามจะฆ่าพ่อผม แต่ก็ล้มเลิกไปเพราะหาพ่อผมไม่เจอ
จนเมื่อหลายปีก่อน พ่อผมถูกฆาตกรรมโดยสามีเก่าของแฟนเขา ฟูกที่ล้มลงบนร่างของเขาขณะถูกเผา เป็นสิ่งที่เก็บรักษาสภาพร่างกายได้ดีพอที่จะระบุว่านั่นคือร่างของพ่อผม มันค่อนข้างบ้าที่ในตอนวัยเด็ก เขาก็รอดตายมาได้เพราะซ่อนอยู่ใต้ฟูกที่นอนเหมือนกัน
เหตุการณ์บังเอิญพวกนี้มันค่อนข้างประจวบเหมาะเกินไป ดังนั้นความตายของพ่อผมมันเลยดูเหมือนเป็นวงกลมสมบูรณ์ที่สถานการณ์เก่า ๆ ย้อนมาบรรลุผลได้เสมอ มันจึงเป็นเรื่องแปลกที่ผมไม่ต้องไปสนใจเรื่องราวทั้งหมดก็ได้
.
เหตุการณ์นี้หรือที่ชักจูงคุณไปสู่ปรัชญา “สูญนิยม” ?
.
Chuck Palahniuk :
แค่ตัวเลือกหนึ่ง คุณสามารถกำหนดได้ว่าตัวเองจะเป็นอะไร จะเป็นพวกสูญนิยมแบบผม หรือพยายามกำหนดความเชื่อของคุณขึ้นมาเองจากสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ ซึ่งตัวเลือกหลังนี่มันดูเหมือนอยากจะควบคุมคนอื่นให้เชื่อแบบตัวเองมากเกินไป ผมไม่อยากเป็นแบบนั้น เลยเลือกจะอยู่ฝ่ายสูญนิยมมากกว่า เพราะคิดว่ามันคือพื้นฐานที่ดีที่สุดในการสร้างสรรค์และเล่นสนุก
.
คุณยังสนับสนุนให้ฆาตกรที่ฆ่าพ่อถูกประหารชีวิตใช่ไหม?
Chuck Palahniuk :
เจ้าหน้าที่บางคนเอาเอกสารมาให้ผมอ่าน เกี่ยวกับประวัติต่าง ๆ ของผู้ชายคนนี้ แม้มันผิดจรรยาบรรณตามกฎหมาย แต่มันทำให้ผมรู้ว่าเขาตั้งใจทำผิดมาตั้งแต่เด็ก ประวัติร้ายยาวเป็นหางว่าว เขาสร้างความเจ็บปวดและทำลายชีวิตคนอื่นมามากมายจนดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา การประหารชีวิตอาจเป็นเรื่องที่ขาวสะอาดที่สุดในชีวิตเขาแล้ว
.
นอกเหนือจากเรื่องพ่อแล้ว เรื่องชีวิตส่วนตัวที่ดูน่าสนใจไม่น้อยคือ เรื่องวิถีเพศ คุณไม่เปิดเผยเลยจนกระทั่งในปี 2003 แม้ความเป็นจริงทุกคนคิดว่าคุณแต่งงานกับผู้หญิง ทำไม?
Chuck Palahniuk :
เพราะคู่ของผมเขาไม่ต้องการเป็นบุคคลสาธารณะ คำถามต่อไปที่จะตามมาหลังจากเปิดเผยตัวคือ “เขาเป็นใคร?” ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะไม่เปิดเผย ก็เหมือนกับเหตุผลของคนมีชื่อเสียงทั่วไปที่มักไม่ตอบคำถามเรื่องลูก เพราะเขาไม่อยากให้ลูกกลายเป็นบุคคลสาธารณะ
.
ถ้าคุณต้องการจะเริ่มอาชีพของคุณตอนนี้ คุณจะออกมาเปิดเผยตัวเองเลยไหม? มันง่ายมากเลยนะที่จะพูดถึงตัวเองกับสังคมตอนนี้
Chuck Palahniuk :
ผมจะทำมันในทิศทางตรงกันข้าม ไม่มีภาพในหนังสือสักเล่ม ใช้นามแฝงเพื่อทำงานเหมือนนักเขียนสักคนของ The Hunger Games ปฏิเสธจะให้สัมภาษณ์หรือประชาสัมพันธ์ เพียงแค่อยากรักษาตัวเองออกจากกระบวนการงี่เง่านี่ทั้งหมด
ทำไม?
Chuck Palahniuk :
เพราะผมอยากยืนให้ได้โดยใช้ผลงานเป็นตัวตัดสิน ผมเหนื่อยกับการออกมาอธิบายนั่นนี่ มันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น การที่นักเขียนมีตัวตนมากไปจะทำให้ผู้อ่านมองไม่เห็นตัวเองในเรื่องราวที่อ่าน เพราะเขาจะเห็นแต่นักเขียนอยู่เต็มไปหมด
.
การเป็นเกย์มีผลอะไรกับ Fight Club (ไฟต์คลับ) ไหม?
Chuck Palahniuk :