to every me who I remember
☆ to every me who I remember ☆
เรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจ จากนิสัยชอบจดบันทึก
.
ยังจำโลกเราในยุคออฟไลน์ได้หรือไม่? ยุคที่ผู้คนจดจ่อกับหนังสือมากกว่ามือถือ สื่อออนไลน์ยังไม่ผุดเกิด และมนุษย์โปรดปรานการจดบันทึกมากกว่าพิมพ์สเตตัสในสื่อโซเชียล
.
ลองคิดว่าถ้าหาก Anne Frank เกิดในยุคนี้ ข้อมูลที่เธอโพสต์จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ยาวนานขนาดนี้ได้หรือไม่? หรือมันจะหายวับไปกับตาเพียง Refresh หน้า Feed กันแน่?
.
ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางสิ่งคงอยู่ชั่วนิรันดร์ได้ก็เพราะการจดบันทึกลงบนหน้ากระดาษ ที่เคลือบด้วยมนต์เสน่ห์ประหลาดแบบที่สื่อออนไลน์ขาดไป
.
.
แอนน์ แฟรงค์ หรือ อันเนอลีส มารี “อันเนอ” ฟรังก์ เด็กสาวชาวยิววัย 13 ที่บันทึกเรื่องราวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ระหว่างเธอและครอบครัวหนีหลบซ่อนตัวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
.
เรื่องราวดังกล่าวถูกบันทึกเอาไว้ใน สมุดบันทึกปกแดงซึ่งพ่อของเธอให้เป็นของขวัญในวันเกิดครบรอบอายุ 13 ปี
.
.
ซามูเอล พีพส์ นักการบริหารของราชนาวีอังกฤษและสมาชิกรัฐสภาชาวอังกฤษผู้มีผลงานอนุทินที่มีชื่อเสียง ซึ่งอนุทินส่วนตัวที่พีพส์เขียนนั้น อยู่ในช่วง ค.ศ. 1660 ถึง ค.ศ. 1669
.
พิมพ์ครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และกลายเป็นเอกสารสำคัญของสมัยการฟื้นฟูราชวงศ์อังกฤษ อนุทินเป็นคำบรรยายความคิดเห็นของพีพส์เองและการประสบเหตุการณ์ต่างๆ ที่สำคัญในยุคนั้นด้วยตนเอง
.
เช่น โรคระบาดครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอน สงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่สอง และ เพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในลอนดอน
.
-
อนุทิน คือ การบันทึก แรกเริ่มบันทึกในรูปแบบของสมุด ซึ่งแยกข้อมูลเป็นวัน รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงการบันทึกของรัฐบาล การบันทึกทางธุรกิจ การบันทึกทางทหาร โรงเรียนหรือผู้ปกครองบางคนสอนเด็กให้เขียนอนุทิน เพื่อแสดงความรู้สึกและความคิดออกมา
.
.
แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนยุคใหม่จะไม่ให้ราคากับการจดบันทึก เพราะเมื่อสื่อออนไลน์มีเดียเข้าถือง่ายกว่าปากกาและกระดาษ ผู้คนหมู่มากเลือกบันทึกเรื่องราวของตนผ่านบล็อกและเว็บไซต์ที่ทุ่นแรงมากกว่า
.
รวมถึงโซเชียลมีเดีย ที่ใช้แรงกดแป้นเบาบาง กราดพิมพ์ชั่วอึดใจ ก็สามารถระบายเรื่องราวที่มีในใจออกมาได้จนหมดสิ้น
.
.
‘to every me who I remember’ คือหนังสือเล่มหนึ่งที่เกิดขึ้นจากนิสัยชอบจดและจำ ผ่านประสบการณ์ชีวิตของ Twoego ที่พบเจอในแต่ละวัน
.
แม้ไม่ได้เจาะจงลงลึกไปในเรื่องใด แต่เรื่องราวส่วนใหญ่ใกล้ตัวแบบที่หลายประเด็นสร้างความคุ้นเคยและอมยิ้มพร้อมทัศนคติเชิงบวกของเขาไม่ยาก
.
ผมชอบเขียนแรงบันดาลใจ และความคิดที่พรั่งพรูตอนอยู่คนเดียว ออกมาเป็นตัวหนังสือ ผมหวังให้ตัวหนังสือของผมปลอบโยนหัวใจของผมและคนอื่น ๆ เพราะมันมีความหมายมากกว่าการฝังเอาไว้อยู่ในหัวใจ
.
.
แล้วการชอบจดและจำนี้สร้างประโยชน์อะไรบ้าง?
.
.
① สิ่งพิเศษ เรื่องราวประทับใจ บันทึกได้แค่ตวัดปากกา
ผู้คนมักจะถ่ายรูปเพื่อจดจำวันพิเศษต่าง ๆ เช่น ปาร์ตี้ หรืองานเลี้ยงฉลอง แม้มันคือการบันทึกช่วงเวลาเหมือนกัน แต่ค่อนข้างแตกต่างกับการจดบันทึกอย่างชัดเจน
.
เพราะ ไดอารี่ คือการจดบันทึกเฉพาะสิ่งที่คุณรู้สึกในช่วงเวลานั้นเท่านั้น ไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด คุณอาจหลงลืมและจำความรู้สึกในช่วงเวลานั้นผ่านภาพถ่ายไม่ได้ ต่างกับการจดบันทึกที่ผู้คนมักจะใส่ความรู้สึกของตนเองลงไปในทุกตัวอักษร
ผมเคยวิ่งมาราธอนในช่วงฤดูหนาวที่อากาศเย็นกว่าที่คิด ผมใส่เสื้อบาง ๆ ยืนโต้ลมเย็นระหว่างที่รอสัญญาณออกตัว ตัวผมเหมือนต้นไม้ มีหนามและสั่นไปทั้งตัว ผมมัวแต่สนใจสภาพอากาศ จนไม่สามารถเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่การวิ่งมาราธอนได้ มัวแต่คิดเรื่อยเปื่อย สัพเพเหระ
.
เมื่อมาถึงจุดกลับตัว ความคิดสัพเพเหระก็หายไป เพราะเอาแต่คิดว่าอยากหยุดวิ่ง คงเพราะผมไม่ได้เตรียมตัวมาดีพอ จึงปวดกระทั่งแขนที่แกว่งอยู่ข้างตัว และตอนนั้นเอง ที่ผมเริ่มได้ยินเสียงฆ้องอันไพเราะ ชาวเมืองออกมาเชียร์นักวิ่งมาราธอนตามทาง
.
พวกเขาเหล่านั้นทำให้ผมตื้นตัน และเริ่มคิดว่าการวิ่งมาราธอนอาจเป็นการแข่งขันกับตัวเองก็ได้
เรื่อง ‘ชีวิตคือการวิ่งมาราธอน’ หน้า 192 – 193
.
.② จดจำวันแสนธรรมดา ที่ซ่อนเร้นสิ่งพิเศษ
วันไหนชีวิตเป็นสุขดี ไร้เรื่องพิเศษ มนุษย์เราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมันสักเท่าไหร่ แต่หากมองให้ลึก นึกให้ไกล ก็จะเห็นสิ่งพิเศษทั้งหลายแอบซ่อนอยู่ในวันปกติเหล่านั้น และเห็นได้ชัดมากขึ้น เมื่อคุณเริ่มที่จะจดบันทึก เช่น คำพูดที่น่าฟัง ผู้คน สิ่งของ หรือเรื่องราวที่สนใจ เป็นต้น
ที่ตลาดเช้าอันคึกคัก ผมซื้อเต้าหู้ร้อน ๆ หนึ่งก้อนกับผักห้าสีมากินเป็นข้าวเช้า คุณยายใจดีตักให้เยอะมาก จนคิดว่าจะกินไม่หมด ด้วยความรู้สึกผิด ผมจึงยื่นแบงก์ห้าหมื่นวอนให้และบอกว่าไม่ต้องทอน
.
คุณยายโบกมือปฏิเสธ ก่อนจะหยิบแบงก์พันวอนยับ ๆ คืนให้สามใบ ผมเดินกลับบ้าน พร้อมถุงอาหารอุ่น ๆ ในมือ ความรู้สึกอ่อนล้าและเกียจคร้านก่อนหน้านี้ หายไปจนหมดสิ้นเมื่อได้พบกับความคึกคักและความอบอุ่นของตลาดเช้านี้
เรื่อง ‘ตลาดเช้า’ หน้า 90 – 91
.
③ ทุกความรู้สึกที่มี แค่บันทึกมันลงไป
หากไม่จดก็อาจจำไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร ในบางวัน หรือ ในบางสถานที่ ดังนั้นการจดบันทึกจะทำให้หน่วยความจำของคุณมีรายละเอียดชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ผมเคยระบายเรื่องบางเรื่องให้เพื่อนฟัง แต่ต่อมาผมกลับได้ยินเรื่องของผมเรื่องนี้จากปากคนอื่น ผมรู้สึกแย่ช่วงหนึ่ง เราควรคบเพื่อนที่ไว้ใจได้ แต่ถ้าอยากรักษาความลับเอาไว้ มีอยู่วิธีเดียว มันน่าเศร้ามาก แต่วิธีนั้นคือการไม่บอกใคร
วิธีหนึ่งเดียว ที่รักษาความลับ หน้า 61
.
④ บำบัดตนเอง จากวันร้าย ๆ
การจดบันทึกช่วยคลายความรู้สึกแย่ ๆ ที่อยู่ในใจ บางเรื่องที่พบเจออาจไม่อยากเล่าให้ให้ฟัง คุณทำให้ตัวเองรู้สึกดีได้ แค่ระบายออกบนกระดาษ บางทีทางออกและการตัดสินใจในเรื่องที่กำลังสับสน อาจเกิดขึ้นมาจากการย้อนอ่านสิ่งที่คุณจดบันทึก
ผมเป็นพวกไม่แสดงความรู้สึก ได้แต่เก็บเอาไว้ข้างใน เมื่อเขียนความรู้สึกที่มีข้างในออกมาเป็นตัวหนังสืออย่างลวก ๆ ผมจะรู้สึกเหมือนได้คลายความกระหาย เหมือนเป็นการปลดปล่อย
บทกลอนที่เขียนลวก ๆ ความฝันที่เขียนลวก ๆ หน้า 196 – 197
.
⑤ ผ่อนคลาย และเข้าใจตนเอง
แก้วชาร้อน ชุดสบายตัว เวลาครึ่งชั่วโมง ปากกา และไดอารี่ สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายขึ้นจากความยุ่งเหยิงประจำวันที่ต้องเจอ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ต้องกังวลหรือวอกแวกกับเรื่องอื่น เหมาะสมที่จะทบทวนตนเองในทุกเรื่องราวที่พบเจอตลอดวันอย่างละเมียดละไม
.
.
หาก ‘to every me who I remember’ เป็นไดอารี่สักเล่มหนึ่ง ก็คงเป็นการจดบันทึกที่ละเอียดลออกับรายละเอียดอย่างมาก เพราะเป็นการตั้งข้อสังเกตในทุกเรื่องที่ไหลผ่านเข้ามาในชีวิต พิจารณาสิ่งที่กระทบต่อความรู้สึก ก่อนตกผลึกเป็นแง่คิดที่มีประโยชน์
.
ซึ่งในแต่ละบทความใช้เวลาอ่านไม่นานนัก สั้นกระชับแต่แสดงแง่งามของชีวิต เมื่ออ่านจนจบแล้วจึงรู้สึกเหมือนเพื่อนสนิทที่เล่าเรื่องตัวเองให้ฟังอย่างไว้ใจ มากกว่าเป็นผู้เขียนหนังสือขาย จากเรื่องเล่าใกล้ตัวที่ใครก็เจอได้ แต่หลายคนผ่านไปไม่ได้
.
ใครที่กำลังมองหาหนังสือประเภทสร้างแรงบันดาลใจ เพราะรู้สึกชีวิตมืดมนไม่สดใส คล้ายต้นไม้ขาดน้ำ รับรองเลยว่า ‘to every me who I remember’ จากสำนักพิมพ์แจ่มใสเล่มนี้ จะช่วยเยียวยาความเหี่ยวเฉานั้น ให้กลับมาเขียวชะอุ่ม ชุ่มหัวใจได้อีกครั้ง ► คลิกเพื่อสั่งซื้อ
.
.
‘to every me who I remember’
Twoego
.
การปลอบโยนของ Twoego ที่ส่งถึงคุณ ผู้ซึ่งยืนอยู่เพียงลำพังบนโลกอันกว้างใหญ่ ผู้ซึ่งเจ็บปวดกับชีวิต, ผู้คนและหัวใจ ผู้ซึ่งไร้ความรู้สึกกับทุกสิ่ง
.
.
มีคำพูดหนึ่งที่บอกว่าตำแหน่งสถานะสร้างคนแต่ไม่จำเป็นที่จะต้องห่อเหี่ยวเมื่อตำแหน่งหรือสถานะในปัจจุบันแย่ลง
.
.
“แค่เรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ก็มีคุณค่ามากพอแล้ว”
.
.
มีชีวิตอยู่ในแบบของฉัน มีชีวิตอยู่ในแบบของเธอ มีชีวิตอยู่ในแบบของเรา เหตุผลเพียงเท่านี้ก็เพียงพอต่อการมีชีวิตอยู่แล้ว
.
MTHAI BOOK | อ่านสนุก ทุกวัน ทันกระแส