Geek Book PYONG : Traveller X Doctor กันตพงศ์ ทองรงค์ ท่องเที่ยว หมอ หมอเปียง

ทริปฉุกเฉินของหมอเปียง : พูดคุยกับ นพ.กันตพงศ์ ทองรงค์ เจ้าของเพจ PYONG : Traveller X Doctor

Home / Editor Talk / ทริปฉุกเฉินของหมอเปียง : พูดคุยกับ นพ.กันตพงศ์ ทองรงค์ เจ้าของเพจ PYONG : Traveller X Doctor

ทริปฉุกเฉินของหมอเปียง


.

Pyong See What I See ทริปฉุกเฉินของหมอเปียง

พูดคุยกับ นพ.กันตพงศ์ ทองรงค์ เจ้าของเพจ PYONG : Traveller X Doctor

.


.

วันนี้ BOOK.MTHAI ขอพาทุกคนไปรู้จักกับ นพ.กันตพงศ์ ทองรงค์ หรือว่าหมอเปียง และเป็นเจ้าของ Facebook Fanpage ชื่อว่า PYONG : Traveller X Doctor 

.

แล้วอะไรที่ทำให้คุณหมอชอบเดินทาง ชอบถ่ายภาพ และอีกหลายๆประเด็นต่างๆ ให้หายข้องใจ และคุณหมอก็ยังพก หนังสือ Pyong See What I See ทริปฉุกเฉินของหมอเปียง หนังสือเล่มแรกของหมอเปียง เราไปพูดคุยกับคุณหมอกันเลย

.

.พูดคุยกับ นพ.กันตพงศ์ ทองรงค์ เจ้าของเพจ PYONG : Traveller X Doctor

Q: แนะนำตัว

สวัสดีครับ ผม นพ.กันตพงศ์ ทองรงค์ หรือว่า “หมอเปียง” ครับ ปัจจุบันเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ทำอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ สถาบันพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังครับ และเป็นเจ้าของ  fanpage เกี่ยวกับ Travel + Lifestyle  ชื่อว่า PYONG : Traveller X Doctor ครับ

.

Q: จุดเริ่มต้นของการเดินทางมันเริ่มมาจากอะไร

เป็นคนที่ชอบถ่ายรูปมาก่อน แล้วเราก็มีรูปใน stock ที่เยอะมาก ๆ เลยอยากที่จะทำเป็นเพจขึ้นมา คือเรื่องการเดินทาง มันเริ่มขึ้นจากการที่เราชอบถ่ายรูปก่อน พอเราถ่ายรูปเยอะ ๆ เราก็อยากไปในที่ ๆ สวยมาขึ้นเรื่อย ๆ มันก็เป็นโอกาสที่ทำให้เดินทางไปในที่ใหม่เรื่อย ๆ ครับ

.

Q: คนในยุคปัจจุบันชอบอ้างว่าไม่มีเวลา งานยุ่งบ้าง ดึงเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ หมอก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่หาเวลาว่างได้น้อยมาก คุณหมอมีวีธีแบ่งเวลายังไง

ผมคิดว่ามันต้องมี mindset ใหม่เกี่ยวกับเรื่องของเวลาก่อน เพราะจริง ๆ แล้วถ้าถามว่าเวลาว่างมันมีจริง ๆ หรือเปล่า ผมคิดว่าเวลาว่างมันไม่มีคำนั้นจริง ๆ หรอกครับสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่มันก็ไม่ได้ว่างเหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะกินข้าว ฟังเพลง เล่นเฟสบุ๊ค มันก็ไม่ใช่เวลาว่างเพราะเรากำลังทำอะไรสักอย่างนึงอยู่ เราก็ต้องตีความใหม่ว่าจริง ๆ

.

แล้วเวลาว่างมันไม่ได้มีอยู่จริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องคิด สิ่งที่เราต้องว่างแผนให้ครบว่าเราอยากทำอะไรบ้าง พยายามจับสิ่งที่เราคิดว่ามันอาจจะไม่สำคัญ ไม่ได้มองว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่ว่าเราก็จับมันลงไปในตารางเช่นกัน เช่น การทำงาน การทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ อาจจะเป็นการเล่นดนตรี การถ่ายภาพ การทำคอนเทนต์แบบของผม และก็การดูแลตัวเอง เช่น การออกกำลังกาย การนอนอย่างเพียงพอ

.

การออกไปดูหนังฟังเพลงบ้าง หรือแม้กระทั้งการเล่นเฟสบุ๊คก็ถือว่าเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นทุกมันถูกจัดเป็นสิ่งที่ต้องทำทั้งนั้นเลย เวลาว่างเราก็ไม่ได้นิยามมันจริง ๆ ทุกอย่างได้วางแผนไว้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าเป็นหมอแล้วดูเหมือนยุ่งมาก ๆ แต่เวลาที่จะทำอย่างอื่นมันก็มี อย่างเสาร์อาทิตย์เราก็มี วันหยุดนักขัตฤกษ์เราก็มี หรือในช่วงที่เป็นเวลาพักเบรก หรือเวลาที่มีคนไข้เดินเข้ามาตลอดมันก็ยังจะพอมีเวลาที่ไม่มีคนไข้เช่นกัน ดังนั้นก็สามารถทำอย่างอื่นได้ในช่วงเวลาระหว่างนั้น

Q: ทริปหน้าที่คุณหมออยากไปคือที่ไหน เลือกที่จะไปที่นั้นเพราะอะไร

ทริปหน้าที่จะไป…จริง ๆ แล้วต้องบอกว่า ชีวิตมันกำหนดทริปล่วงหน้าได้ไม่ค่อยเยอะ ในขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลานั้นมันจะตรงกับอะไรหรือว่ามีใครว่างกับผมบ้าง หรือว่าจะมีวันหยุดไหม มันมีปัจจัยเยอะมากเพราะฉะนั้นทริปล่วงหน้าสำหรับผมมันจะไม่ได้ยาวเป็นระดับเดือนด้วยซ้ำ

.

บางครั้งเป็นแบบเดือนต่อเดือน เดือนนึงแพลนใหม่ ๆ แล้วบางทีมันก็… ด้วยความที่ทุกอย่างมันจะตัดเป็นเดือน ๆ ไป หลายครั้งผมก็ไม่ได้วางแผนล่วงหน้านาน เต็มที่แล้วก็เดือน สองเดือน ไม่ได้วางแผนอะไรมากมาย

.

Q: ยังมีที่ไหนที่อยากจะไปแต่ยังไม่ได้ไปบ้างไหมครับ

ที่อยากไปมาก ๆ มันเป็น Dream destination เลยคือ New York อยากไปถ่ายภาพแนว Street เดินถ่ายภาพตามบ้านเมือง ถ่ายภาพผู้คนอะไรทำนองนั้น แต่ถ้าเกิดมีเวลาไม่เยอะมากผมคิดว่าผมจะไปอินเดียก่อน

.

อินเดียที่ชอบก็เพราะว่ามันมีความโดดเด่นในเรื่องของสถาปัตยกรรม และก็คนอิเดียเขาจะมีความน่าสนใจ ความแปลกของพฤติกรรม การแต่งตัว อะไรสักอย่าง มันดูเจ๋งไปหมดเลย คิดว่าน่าจะถ่ายภาพสนุก

.

Q : ช่วงที่คุณหมอเดินทาง เคยเจอประสบการณ์แปลก ๆ บ้างไหมครับ เป็นเหตุการณ์ที่จะไม่ลืมเลย

ที่เคยเจอก็ไม่ได้แปลกขนาดนั้น แต่เรียกว่าเป็นความพลาดส่วนตัวมากกกว่า บางครั้งเวลาเราเดินทางไปต่างประเทศเรามักจะกะน้ำหนักกระเป๋าไปพอดีแล้ว แต่ความจริงคือมันเกิน หลายครั้งเราเอาของในกระเป๋าที่น้ำหนักเกินแบกเอาออกมาใส่ในกระเป๋าอีกใบที่เป็นกระเป๋าที่จะถือขึ้นเครื่องบินไปพร้อมเราด้วย

.

ก็เข้าใจว่าตามกฎใบที่จะถือขึ้นไปพร้อมกับเราเขากำหนดไว้ 7 กิโล หลาย ๆ ครั้งก็ถือเกินตลอด แค่คอมฯ ก็สองสามกิโลแล้วอันนั้นคือปกติ แต่ของผมเองครั้งนั้นตอนไปญี่ปุ่น ตอนนั้นผมก็ใช้หลักการแบบนี้แหละ มีทั้งกล้อง มีคอมฯ ปริ่ม ๆ 7 กิโลแล้วยังไม่ทันจะใส่อะไรลงไปเลย ตอนนั้นซื้อน้ำหนักมาน้อยไปหน่อย

.

แต่ของในกระเป๋าใบใหญ่ของผมน้ำหนักมันเกินกว่าที่ซื้อไว้ มันเกินมาระดับ 5 กิโล แล้ววันนั้นผมไม่ได้ชั่งไปก่อน รู้อีกทีว่ามันเกินก็ตรงเค้าเตอร์เช็คอินแล้ว ไปชั่งแล้วมันเกินมา 5 กิโล แต่ก็คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรก็เลยตัดสินใจถอยออกมาก่อนไปจัดกระเป๋าใหม่ ตอนนั้นก็มีการเคลียร์ของบางอย่างออกและบางส่วนก็ไปใส่ในกระเป๋าใบที่จะถือขึ้นเครื่องบิน จากนั้นก็กลับไปที่เค้าเตอร์เช็คอินอีกครั้งนึง

.

พนักงานก็ถามผมเลยว่าน้ำหนักมันหายไปไหน ขอชั่งกระเป๋าใบที่จะถือขึ้นเครื่องบินด้วย  พีคตอนนั้น เพราะไม่คิดว่าเขาจะชั่งน้ำหนักใบที่จะถือขึ้นไปด้วยเพราะใบมันก็เล็กแค่นั้น แต่ด้วยที่มันเกินตั้งแต่ครั้งแรกด้วยแล้ว ปรากฏว่ามันที่จะถือขึ้นเครื่องน้ำหนักอยู่ที่ 12 กิโล เพราะมันโดนแบ่งออกมา กลายเป็นว่าของฝากบางอย่างก็ต้องทิ้งไป เพราะไม่รู้ต้องทำยังไง เสียดายมากตอนนั้น

.

.


Q: ทำไมคนเราต้องออกไปเที่ยว โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ต้องรีบออกไปเที่ยว

ที่ต้องออกไปเที่ยวตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็เพราะว่า

.

.” ตอนนี้เรายังมีไฟอยู่ พอมันมีไฟแล้วเรายังสามารถทำอะไรดี ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางที่มันไกลขึ้นมา
หรือว่าเดินที่มันยากลำบาก การกินอยู่อะไรบางครั้งมันก็ไม่จำเป็นต้องสบายมาก มันลุย ๆ ได้ “

.

อันนี้เป็นช่วงเวลาที่เป็นเด็ก ช่วงเวลาที่เป็นวัยรุ่นที่สามารถทำได้ พอแก่ตัวไปมันก็จะมีข้อจำกัดเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นโรคที่เป็นไปตามอายุ หรือว่าความเสี่ยงต่าง ๆ มันทำให้เราไม่เต็มที่ได้เหมือนเดิม ผมคิดว่าการที่เราจะไปไหนแล้วมันไม่ได้มีข้อห้ามหรือข้อจำกัดอะไรมากมาย ก็ลองหาเวลาไป พอโตไปแล้วเราก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นเราจะได้ไปไหม อยากทำอะไรก็รีบทำไปก่อน

.

Q: งานก็เยอะ เดินทางก็บ่อย fanpage ก็ต้องทำ ตอนนี้มีผลงานเขียนเป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่ม อยากให้คุณหมอพูดถึงหนังสือเล่มนี้ให้ฟังหน่อยว่ามันมีอะไรอยู่ข้างในบ้าง

.

หนังสือเล่มนี้มันเป็นแรงบันดาลใจมาจากการสร้างเพจ เป็นเพจท่องเที่ยวของผมเอง เป็นช่วง 6 เดือนแรกที่ทำเพจเฟสบุ๊คขึ้นมา ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมใช้ทุนอยู่ปี 1 ในปีนั้นเป็นปีที่เรียกว่าหนักมากในเรื่องของการทำงานหมอ เพราะว่าจะมาเวรเยอะ และก็ทำงาน full time ทั้งวันเลย บางครั้งมีเวรแล้วก็รันยาวไป 8 ชั่วโมงก็ยังไม่จบงานเลย

.

ช่วงนั้นวันหยุดน้อยมาก เดือนนึงมีวันหยุดแค่เสาร์อาทิตย์เดียวหรือสองเดือนมีเสาร์อาทิตย์เดียว มันหยุดน้อยมาก แต่ช่วงก็เปรี้ยวไง 555 อยากทำเพจขึ้นมา คืออยากทำมานานแล้ว อยากทำมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วแต่ตอนนั้นรู้สึกว่ามันยังติดหลายอย่าง ต้องสอบ อ่านหนังสือ หาเวลาว่าไม่ได้ก็เลยยังไม่อยากทำในตอนนั้น มาทำตอนที่เรียนจบแล้ว มีเงิน มีอะไรแล้วแต่ว่าไม่มีเวลา สิ่งที่คิดว่าอยากจะทำตั้งแต่เด็ก มาถึงตอนนี้มันมีทุกอย่างพร้อมแล้วเหลือแค่เวลาอย่างเดียว

.

เราก็เลยคิดว่า ถ้าเราลองพยายามที่จะจัดสรรมันให้ได้แล้วลองทำมันดู มันน่าจะท้าทายดี ก็เลยตัดสินใจทำช่วงนี้แหละ ถ้าไม่เริ่มตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มตอนไหนแล้ว ก็อย่างที่ผมบอกว่าตอนนั้นวันหยุดมันน้อยมาก เดือนนึงมีครั้งเดียว สองเดือนมีครั้งเดียว แต่วันหยุดนั้นนั่นแหละที่ผมจะสร้างคอนเท้นต์ขึ้นมา พอมีวันเสาร์อาทิตย์ก็เรียกว่าคว้าไว้ทันที มันฟังดูตลกนะเพราะว่าทุกคนมีเสาร์อาทิตย์เป็นปกติ แต่สำหรับหมอใช้ทุนปี 1 มันหายากมาก มันเป็นเหมือนกับวันปิดเทอม  วันหยุดยาวของผมเลย เสาร์อาทิตย์นี่ถ้ามีก็คิดว่าต้องไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้

.

อย่างต่างจังหวัดผมว่ามันใกล้ไปหน่อย ต้องไปต่างประเทศ อย่างหนังสือเล่มนี้ก็พูดไว้สองทริปสามทริปที่ไปต่างประเทศในช่วงวันหยุด ไปเวียดนาม ไปสิงคโปร์ ไปกัมพูชา ถามว่ามีเวลาแค่ 2 วันใช่ไหม ก็ไม่ใช่อีกเพราะผมออกตั้งแต่วันศุกร์ บางครั้งกลับวันจันทร์ด้วย กลับมาวันจันทร์ตอนเช้าเพื่อมาทำงานให้ทัน ถ้าไม่มามองในมุมมองผมก็จะไม่มีทางเข้าใจว่าทำไมต้องพยายามขนาดนั้น ก็มันมีวันหยุดแค่นั้นจริง ๆ ก็ต้องสู้หน่อยไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้ไปไหนเลย

.

ถ้าเรามองว่าวันหยุดวันนั้นเรานอนอยู่บ้านก็ได้นะแล้วแต่คน ถ้าเกิดว่าโอเคกับการนอนอยู่บ้านหรือนั่งฟังเพลงดูหนังสบาย ๆ จริง ๆ ทำแบบนั้นก็สบายดีเหมือนกัน แต่ผมมองว่าการออกไปเที่ยวก็คือการพักผ่อนอย่างหนึ่ง มันท้าทายกว่า มันสร้างอะไรบางอย่างให้ชีวิต เรารู้สึกว่า เฮ้ย! เราสามารถทำมันได้นะเว้ย ก็เลยอยากจะทำแบบนั้นมากกว่า

.

หนังสือเล่มนี้มันสร้างขึ้นในเวลานั้น ถ้าถามว่าอยากจะอ่านหนังสือรีวิวเที่ยวที่แบบบอกทุกอย่าง เดินทางยังไง ใช้เงินกี่บาท นอนโรงแรมไหน คงใช้หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เพราะว่ามันไม่ได้เล่าละเอียดขนาดนั้น แต่สิ่งที่ผมให้ได้มากกว่าก็คือเรื่องของแรงบันดาลใจ คงไม่มีหนังสือเที่ยวเล่มไหนหรอกที่เที่ยวแค่สองสามวันแบบนี้แล้วมาสร้างเป็นคอนเท้นต์ออกมา ปกติต้องเที่ยวสี่ห้าวัน เป็นสัปดาห์ แต่ของผมไม่ใช่ เพราะผมมีข้อจำกัดมากมายที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะไปเที่ยวได้

.

เพราะฉะนั้นหนังสือของผมมันจะเป็นการเที่ยวที่พูดถึงเรื่องราว story ของผม ในส่วนของการรีวิวก็จะเล่าถึงทริป เล่าถึงความสนุก เล่าถึงเรื่องราวของภาพสวย ๆ และเรื่องราวก่อนที่จะเป็นทริป มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ชีวิตผมไม่ได้สบายนะ ไม่ได้มีเวลาเหลือเฟือที่จะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ มาจากความยากลำบาก

.

อยู่เวรต่อกัน ไม่มีเวลาเลย เป็นไข้บ้าง ตกเครื่องบินบ้างอะไรแบบนี้ มันก็จะมีเรื่องราวป่วน ๆ เรื่องราวที่ผิดคาดหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมเหมือนกันกว่าจะมีทริปในแต่ละทริป ในแต่ละเดือนได้ อันนี้ก็จะเป็นความน่าสนใจของหนังสือของผม

.

.

Q: มีที่ไหนไหมในหนังสือเล่มนี่ที่อยากแนะนำให้คนไปเที่ยวตามมากที่สุด

จริง ๆ ทุกทริปที่ผมไป ผมคิดว่าทุกทริปมันให้อะไรบางอย่างกับผมหมดเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นที่เที่ยวในประเทศ ต่างประเทศ มันก็มีความพิเศษของมันทุกทริปเลยนะ

.

ไม่ว่าเป็นเรื่องของสถานที่ เรื่องของคนที่ไปด้วย หรือเรี่องของภาพที่ออกมา มันมีเรื่องราวของมันนะครับ ผมคิดว่าในเวลาที่จำกัดขนาดนี้ ไม่ว่าจะอ่านทริปไหนของผม ก็แนะนำทุกที่นะ มันมีข้อดีของมันทั้งนั้นขึ้นอยู่ว่าจะมองมุมไหนมากกว่า

.

Q: อยากให้คุณหมอช่วยคิดข้ออ้างให้น้องไปใช้กับแม่เพื่อจะขออนุญาตไปเที่ยว

คือสไตล์ผม ถ้าจะออกไปเที่ยวแบบไกล ๆ ผมจะไม่ไปเปล่า สมมติถ้าเป็นนักศึกษา เป็นนักเรียน ผมคิดว่าจริง ๆ มันก็ไม่ใช่เวลาที่จะไปเที่ยวขนาดนั้นเพราะเราก็ยังหาเงินไม่ได้ วุฒิภาวะก็ยังไม่มี แต่สิ่งที่ผมทำสมัยนั้นก็คือจะร่วมกับกิจกรรมบางอย่างเพื่อที่จะไปเที่ยวที่ไหนสักที่นึง ตอนที่ผมยังเรียนอยู่ปี 5 ผมก็ไปพรีเซนต์งานที่ต่างประเทศเลย

.

ไปที่ประเทศออสเตรเลีย ระหว่างนั้นหลังจากพรีเซนต์เสร็จมันก็เป็นเวลาของเราแล้ว เที่ยวที่นั้นต่ออีกเป็นสัปดาห์ ไปทำงานแค่สามสี่วัน แต่อยู่ต่อเป็น 10 วัน ผมคิดว่ามันก็โอเคนะ ถ้าอยากจะไปเที่ยวแล้วมันมีอะไรสักอย่างที่มันมีประโยชน์ก่อนหน้านั้น หรือการไปร่วมค่ายจิตอาสาต่าง ๆ หลายที่มันก็จะมีเวลาในการไปเที่ยวอยู่แล้ว เราก็ไปทำประโยชน์ด้วยไปเที่ยวด้วย หรือบางคนก็ไม่ได้มีอะไรเลย ไม่ได้มีข้ออ้างอะไรทั้งนั้นก็แค่อยากไปเที่ยวเฉย ๆ คิดไม่ออกนะ

.

ไม่รู้สิสำหรับผม ผมคิดว่ามันต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยน เพื่อที่จะทำให้เขารู้สึกโอเค ถ้าเกิดคุณทำตัวห่วย ๆ ทำตัวแบบไม่ได้เรื่อง มีสาระจับอะไรไม่ได้เลย ผมเป็นพ่อแม่ผมก็ไม่ให้ ต้องมีอะไรมาแลก เช่น อาจจะหาเงินเองเพื่อไปเที่ยว หรืออาจจะทำอะไรบางอย่างที่มันน่าภูมิใจ ทำเกรดได้ดีขึ้น ทำอะไรได้ดีขึ้น หรือทำตัวเป็นเด็กดี ทำงานบ้านอะไรแบบนี้ แล้วขอเขาดี ๆ ผมคิดว่าถ้าไม่มีปัญหาเรื่องเงินของทางบ้านมากนัก พ่อแม่ทุกคนเขาน่าจะใจอ่อนให้ไปทั้งนั้น แต่ต้องมีเงื่อนไขไม่ให้เปล่าอยู่แล้ว

.

Q: คำถามสุดท้าย ฝากผลงานหน่อย

ก็ติดตามผมได้ที่ fanpage ส่วนตัวที่ PYONG : Traveller X Doctor ก็จะเกี่ยวกับการรีวิวและไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ของผู้ชาย มันก็จะมีเรื่องราวของที่เที่ยว ที่กิน หรืออาจจะเป็นกิจกรรมบางอย่าง ซึ่งเรื่องราวตรงนั้นมันก็จะสอดแทรกด้วยมุมมองของหมอด้วยหลาย ๆ อย่าง เกี่ยวกับการใช้ชีวิต เกี่ยวกับการบริหารเวลา

.

อันนี้ก็จะเป็นในส่วนของเพจของผม แล้วถ้าอยากจะติดตามรูปถ่ายสวย ๆ ก็เข้าไปดูที่ IG ก็ได้ที่ pycaptain และผลงานล่าสุดของผมตอนนี้ เป็นหนังสือครับ เล่าเรื่องราวการออกทริปในช่วง 6 เดือนแรกของการทำเพจ ชื่อหนังสือ pyong see what I see ทริปฉุกเฉินของหมอเปียง

.

อันนี้ก็จะเป็นเรื่องราวที่ไม่ซ้ำทั้งใน IG และในเพจด้วย เพราะว่าจะเล่าถึงมุมมองทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้นในช่วงของการทำเพจ ตอนนี้มันก็อยู่ในร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศแล้ว วางแผงเรียบร้อย สามารถเข้าไปหาซื้อกันได้ ใครซื้อ tag มาใน IG ได้นะครับ

.

.

บันทึกการเดินทางของหมองานชุกคนหนึ่ง ที่หยิบกล้องประจำตัวออกไปเที่ยวทั่วโลก และไม่ว่าจะไปไกลแค่ไหนในวันหยุดสุดสัปดาห์ ทุกวันจันทร์ “หมอเปียง” จะกลับมาทันเข้าเวรเสมอ จากแฟนเพจที่สร้างแรงบันดาลใจมากมายให้ผู้คน สู่หนังสือที่จะทำให้คุณตื่นตาตื่นใจจนอยากลุกออกไปเที่ยวบ้าง

.

ถ้ามองจากภายนอก หลายคนคงคิดว่าหนุ่มร่างสูง รูปร่างกำยำ หน้าตาตี๋อินเทรนด์คนนี้ คงเป็นพวกนายแบบ นักแสดง หรือคนในวงการบันเทิงสักคน แต่ไม่ใช่ อาชีพของเขาคือหมอ ที่มีชื่อนำหน้าว่า “นายแพทย์กันตพงศ์ ทองรงค์” หรือที่คนชอบเรียกเขาว่า “หมอเปียง” เขาเป็นหมอหนุ่มที่งานยุ่งตลอด ตารางแน่นแทบทุกวันไม่ต่างจากหมอคนอื่นๆ แต่หมอเปียงมีความฝันที่อยากจะเล่าเรื่องราวการเดินทางผ่านมุมมองของตนและภาพถ่ายสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ จากฝีมือของเขาเขาเอง

.

ซึ่งเขาถ่ายภาพได้สวยไม่แพ้มืออาชีพสักนิด (แถมยังฝึกด้วยตนเองอีกด้วย!) จนกลายมาเป็นเรื่องราวผ่านแฟนเพจ “PYONG : Traveller X Doctor” ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว คอนเทนต์ที่เขาทำมีคนแชร์กันต่อไปมากมายเกินความคาดหมายของหมอคนหนึ่งไปไกล หมอเปียงรักในการออกไปเผชิญโลกกว้างเขาดั้นด้นไปยังสถานที่ที่ผู้คนชอบเพื่อค้นหาว่าทำไมทุกคนถึงหลงใหล

.

และถ่ายทอดออกมาผ่านความคิดและภาพถ่ายที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใครเรื่องราวการผจญภัยที่เริ่มต้นขึ้นในช่วงที่ตารางงานแน่นที่สุดของหมอเปียง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทริปฉุกเฉินแบบไม่คาดคิด เขาไม่ลังเลเลยที่จะวางแผนการใช้วันหยุดอันน้อยนิดออกเดินทางไม่น่าเชื่อว่าแค่วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เป็นส่วนใหญ่ หมอเปียงจะสามารถไปกัมพูชา, เวียดนาม, เกาหลีใต้, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์และอีกหลายจังหวัดในประเทศไทยได้ภายในรอบปี และต่อให้ต้องไปไกลแค่ไหน แต่วันจันทร์เขาจะกลับมาเข้าเวรให้ทันเสมอ

.

 เรื่องราวในแฟนเพจของหมอเปียงนอกจากเป็นบันทึกการเดินทางแล้ว ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ในการหาสมดุลชีวิต ทั้งเรื่องงาน วิธีคิด ผสมผสานไปกับการเดินทางสบายๆ แบบมีสไตล์ และพอได้มาทำเป็นหนังสือ หมอเปียงก็ใส่เรื่องราวของการทำงานในฐานะหมอและเรื่องราวของการสร้างแฟนเพจลงไป จนได้ผลลัพธ์ที่แปลกใหม่ น่าติดตาม

.

หนังสือเล่มนี้จึงเป็นทั้งบันทึกการเดินทาง บันทึกประสบการณ์ในการเป็นหมอ และยังเป็นบันทึกของการค้นหาตัวตนของคนหนุ่มบนโลกยุคใหม่อีกด้วย “ทริปฉุกเฉินของหมอเปียง” จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก และย้ำเตือนเราเองด้วยว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะต้องลุกขึ้นมาทำสิ่งที่เคยฝันไว้สักที

.

PYONG : See What I See ทริปฉุกเฉินของหมอเปียง

โดย นายแพทย์กันตพงศ์ ทองรงค์ จาก Geek Book

คลิกเพื่อสั่งซื้อ