ญี่ปุ่น จ๋า ข้ามาแล้ว! … JAPONISM เพราะนาทีนี้ ..#อะไร๊อะไรก็ญี่ปุ่น

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เชื่อว่าคนที่ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนคงจะตาร้อนผ่าว เมื่อขาประจำหน้าฟีดทยอยเช็คอินเที่ยวนั่นนี่กันเสียเหลือเกิน เที่ยวในประเทศก็ขุ่นใจแล้ว นี่ยังขยันบินออกไปนอกประเทศกันจ้าละหวั่น และสถานที่ที่ถูกเช็คอินมากกว่าใครในเอเชีย นาทีนี้คงหนีไม่พ้น “ญี่ปุ่น” อะไร๊ อะไรก็ญี่ปุ่น! .. ที่ถึงแม้ราคาแพคเกจทัวร์จะพุ่งสูงถึง 20,000 บาทขึ้นไป(ต่อ 3 คืน) แต่กลับไม่ลดความนิยมลงเลยแม้แต่น้อย และมีแนวโน้มที่คนไทยรวมถึงช่าวต่างชาติจะไปเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอีกถึง 9% ในปีนี้ (2561) นอกจากดอกซากุระสีชมพูบานสะพรั่ง, ไอคอนของญี่ปุ่นอย่างภูเขาไฟฟูจิ และ วัดวาอารามเก่า ยังรวมไปถึงการบุกแดนแฟชั่นย่านฮาราจุกุ หรือแม้กระทั่งการตามรอยตะลุยกินร้านดัง ก็ถือเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยว ทีไปญี่ปุ่นทั้งที เห็นทีว่าจะพลาดไม่ได้!

แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะที่เกิดปรากฎการณ์ ” ญี่ปุ่น ฟีเวอร์ ”

เพราะกระแสคลั่งญี่ปุ่นนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 150 ก่อน จนเป็นที่มาของชื่อ “J A P O N I S M” : ลัทธินิยมญี่ปุ่น ที่ไม่ว่าอะไร๊ อะไรก็ต้องเป็นญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดาบ, ถ้วยชา, เซรามิก จนไปถึงศิลปกรรมอย่างอุกิโยเอะที่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินระดับโลกอย่าง แวน โก๊ะ (Van Gogh) ก็ยังได้รับอิทธิพลมาจากญี่ปุ่น

ถ้าย้อนไปสัก 10 ปีก่อน นับว่ากระแสญี่ปุ่นในไทยนั้นบูมมาก ทั้งเพลง หนัง อะนิเมะ การ์ตูน ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลมาจากญี่ปุ่น ก่อนที่จะสุกงอมจนถึงจุดอิ่มตัวแล้วซาไปจน “เกาหลีฟีเวอร์” เข้ามาในที่สุด แต่แล้ว “ญี่ปุ่นฟีเวอร์” ในไทยตอนนี้ ยังหลงเหลืออะไรอยู่บ้างนะ?

อาหารญี่ปุ่นถือเป็นอาหารที่ครบถ้วนทางด้านโภชนาการที่คงรสชาติจากวัตถุดิบโดยตรง อีกทั้งยังพิถีพิถันในกรรมวิธีการผลิต ที่เห็นได้จากศิลปะการจัดวางบนจานอาหาร อันสะท้อนถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นได้อย่างดี อาหารญี่ปุ่นอันเลืองชื่อ ได้แก่ ข้าวหน้าปลาไหล, เมนูปลาซาบะ-ปลาทูน่า, บะหมี่ญี่ปุ่น, บ๊วยดอง, ซูชิ-ข้าวปั้นมีหน้า, รวมไปถึงขนมหวานของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น โคลอน, ป็อกกี้, ช็อกโกบิ, คิทแคทหลากรส แต่ไม่ต้องบินไปถึงญี่ปุ่นหรือเสียเวลาพรีออเดอร์แล้ว เพราะในประเทศไทยก็มีร้านอาหารและขนมหวานแบรนด์ดังมาให้เลือกสรรกันถึงที่

ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแส #MINIMALIST ฮิตในไทยอย่างมากในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา แต่น้อยคนจะรู้ว่ามันมีที่มาจากญี่ปุ่น .. “L E S S I S M O R E ” คือนิยามของวิถีชีวิตดังกล่าว ที่เน้นความน้อยสิ่งเพื่อสิ่งที่มากกว่า ต้นกำเนิดอันเนื่องจาก ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่แผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ยิ่งสิ่งของเยอะ ยิ่งอันตรายต่อการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากสิ่งของ และหากมีสิ่งของมีค่าอยู่ในบ้านจะเกิดความเสียหายมาก จนนำไปสู่วิถีชีวิตแบบ #MINIMALIST ในที่สุด ..วิถีชีวิตนี้ยังส่งผลไปถึงการตกแต่งบ้าน, การแต่งกาย และรูปแบบการใช้ชีวิต ที่เรียบง่าย น้อยสิ่ง แต่ครบครร ดังเห็นได้จากร้านต่างๆ มาเปิดในไทย เช่น ร้านสรรพสิ่ง อย่าง MUJI และ MINISO , ร้านเสื้อผ้าชื่อดังอย่าง UNIQLO เป็นต้น

“สตีฟ จ็อบส์” หนึ่งในคนที่ได้ชื่อว่ามีชีวิตที่เรียบง่าย เขามักปรากฏตัวด้วยเสื้อสไตล์เดิม และสีเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ไม่พูดถึงไม่ได้อย่างการ์ตูนและมังงะจากญี่ปุ่นที่ไม่ว่าจะกี่ทศวรรษก็ไม่มีสิ่งใดมาโค่นบังลังก์ได้ (แม้ในตอนหลังการ์ตูนสายหวานของเกาหลีจะเข้ามามีอิทธิพลอยู่ไม่น้อย)

เรื่องคุ้นหูกันดีก็ Inuyasha, Hamtaro, Magical Doremi, CHIBI MARUKO CHAN, Crayon Shin-chan , One Piece, Dragonball, doraemon และอีกกว่า 1,000 เรื่องที่ให้พูดถึงก็อาจจะไม่หมด

ในบ้านเราตอนนี้ ทั้งตามหน้าเว็บไซต์, เพจดัง, รายการต่างๆ คงไม่พูดถึงกลุ่มไอดอลที่ได้รับอิทธิพลจากญี่ปุ่นอย่าง AKB48 นั่นคือ BKN48 (Bangkok Forty-eight) ไม่ได้ นอกจากจะพกความสดใสเหมือนดอกไม้แรกแย้มแล้ว ยังพ่วงคอนเซปท์ “ไอดอลที่คุณสามารถพบได้” เข้ามาอีกด้วย โดยที่มานั้นมาจากในช่วงปี 2005 AKB48 เปิดตัวครั้งแรกด้วยเพลง Sakura no Hanabiratachi แต่เส้นทางของการไอดอลไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะในช่วงแรกไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นการทำดนตรีที่แหวกแนวไปจากดนตรีญี่ปุ่นดั่งเดิม รวมไปถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่จับเด็กสาวมาใส่กระโปรงสั้นแล้วเต้น (รวมไปถึงเรื่องลามก) แต่นั่นไม่ทำให้ AKB กว่า 20 ชีวิตย่อท้อ และสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้จนมีชื่อเสียงโด่งดังมากในญี่ปุ่น

การทำเพลงของ BKN48 นั้นจะต้องทำมาจากเพลงที่มีใน AKB48 หรือทางต้นสังกัดที่ญี่ปุ่นส่งมาให้แล้วแปลเป็นภาษาของชาตินั้นเท่านั้น หากจะทำเพลงอื่นหรือเพลงออริจินอลเป็นของประเทศตัวเอง จะต้องทำหนังสือขอจากทางต้นสังกัดเท่านั้น
จุดขายของวงนี้ ไม่ได้มาจากเพลงเพราะ หน้าตาสะสวย หรือ การเต้นที่พร้อมเพียง หากแต่เป็นความธรรมชาติ เสมือนเด็กข้างบ้านที่เราเฝ้าดูพฤติกรรมและให้กำลังใจเขาจนถึงฝั่งฝันนั่นเอง โดย BNK48 นั้นมี Leader ที่เรียกว่า “กัปตัน” ..ในรุ่นแรกนี้คือ ” เฌอปราง อารีย์กุล” (เฌอปราง BKN48) นั่นเอง

วรรณกรรมและงานเขียนต่างๆ ของญี่ปุ่นเคยบูมอย่างมากในประเทศไทยช่วงยุค 70 ..ก่อนที่การอ่านและหนังสือจะถูกลดความนิยมไป จนทำให้เราแทบจะไม่เห็นวรรณกรรมญี่ปุ่นที่แปลเทียบเคียงจากต้นฉบับจริงๆอีกเลย .. ทั้งที่จริงๆแล้วยังมีกลุ่มนักอ่านขาประจำที่ตั้งตารออยู่มากก็ตาม

หากแต่กระแสการอ่านงานเขียนญี่ปุ่นได้กลับมานิยมอีกครั้งเสมือนคลื่นใต้น้ำ ในปัจจุบันก็เริ่มมีสำนักพิมพ์ในไทยหลายแห่งที่ แปลวรรณกรรมและงานเขียนญี่ปุ่นจากต้นฉบับออกมาเป็นฉบับภาษาไทยให้ผู้อ่านได้เลือกสรร เช่น สำนักพิมพ์กำมะหยี่, SUNDAY AFTERNOON รวมไปถึง MAXX PUBLISHING ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้มีแนวโน้มอย่างมากที่วรรณกรรมญี่ปุ่นจะกลับมาบูมอีกครั้ง ไม่ใช่แค่ความสนุกและอรรถรสที่อัดมาเต็มเล่มเท่านั้นนะ หากเราอ่านจับใจอย่างตั้งใจแล้วละก็ จะพบกับสาระแง่คิดในการใช้ชีวิตที่ผู้เขียนใส่มาอย่างแยบยล แม้ในวรรณกรรมเองก็ตาม

เพราะที่นี่รวบรวมสาระน่ารู้ในโลกหนังสือเอาไว้ ทั้งข่าวสารวงการหนังสือ อีเว้นท์หนัง, หนังสือใหม่, หนังสือแนะนำ รีวิวหนังสือ และ อื่น ๆ อีกมากมาย มีให้อ่านกันฟรี ๆ พลาดไม่ได้ คลิก.. BOOK.MTHAI